วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

7 กลเม็ดกำจัดเซลลูไลต์

7 กลเม็ดกำจัดเซลลูไลต์ (Lisa)

ปัญหา ผิวเซลลูไลท์ ผิวส้ม ผิวแตกลาย หรือผิวเป็นคลื่นเป็นลอนจะสามารถหมดไปอย่างง่ายดาย หากคุณได้ลองปฏิบัติตามวิธีการดังต่อไปนี้เป็นประจำ

1 เกลือขัดกระชับผิว

เกลือจากทะเลมีสรรพคุณที่ช่วยให้การเกาะตัวของเนื้อเยื่อแน่นกระชับ ดังนั้น หากหมั่นนำเกลือมาขัดผิวเป็นประจำ ก็จะสามารถช่วยทำให้ผิวที่มีปัญหาแตกลายกระชับตัวขึ้น นอกจากนี้ภายหลังจากการขัดควรล้างออกให้สะอาด แล้วตามด้วยการทาครีมหรือโลชั่นบำรุงผิว

2 ไขมันส่วนเกินใต้ผิวต้องขับออก

การสะสมตัวของไขมันใต้ผิวส่งผลให้การเรียงตัวของเซลล์ผิวเป็นคลื่นเป็นลอน ไม่เรียบเนียน ฉะนั้นเพื่อลดการสะสมไขมันใต้ผิวหนัง เราจึงควรดื่มน้ำมาก ๆ ให้ได้วันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย

3 ลดการพอกตัวของไขมัน

เพื่อที่จะลดการสะสมตัวของไขมันทั้งในเส้นเลือดและใต้ผิวหนัง คุณจึงควรหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงให้ได้ ซึ่งอาหารที่อุดมด้วยไขมันสูงได้แก่ มันหมู หนังเป็ด หนังไก่ อาหารทอด ๆ ขนมนมเนย ช็อกโกแล็ต ไอศกรีม รวมไปถึงแกงและขนมที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ

4 เล่นกีฬาเป็นประจำช่วยเพิ่มพูนกล้ามเนื้อ

การออกกำลังกายสามารถจะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญสารอาหารได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้การหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ยังสามารถช่วยเปลี่ยนให้เชลล์ไขมันที่สะสมตัวอยู่ใต้ผิวหนัง กลายเป็นกล้ามเนื้อที่แข็งแรง และหุ่นของคุณก็จะดูกระชับเข้ารูป ไม่อ้วนแผละ

5 นวดผิวด้วยน้ำมัน ไขมันไม่มาเกาะ

การดูแลผิวเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเซลลูไลท์ เราควรหมั่นบีบนวดผิวอยู่เป็นประจำ ซึ่งจะเป็นการช่วยกระตุ้นให้เลือดมาเลี้ยงผิวมากขึ้น ส่ง ผลให้ไขมันสะสมใต้ผิวได้ยากขึ้น เพื่อหล่อลื่นพร้อมกับบำรุงผิวไปด้วยในตัว ในขณะนวดจึงควรชโลมผิวด้วยน้ำมันนวด ที่สกัดจากจมูกข้าวซึ่งอุดมด้วยวิตามินอี เท่านั้นไม่พอเพื่อให้คุณมีความสุขและผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น คุณควรผสมน้ำมันหอมระเหยที่มีกลิ่นหอมของโรสแมรี่ ลงไปในน้ำมันนวดนั้น ๆ ด้วย

6 โคลนพอกผิวช่วยลดเซลลูไลท์

กระชับและขับไขมันส่วนเกินออกจากเซลล์ผิว ด้วยการพอกโคลนลดเซลลูไลท์ลงบนผิวบริเวณที่มีปัญหา จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ให้โคลนแห้งตัวนานสักประมาณ 20 นาที จึงค่อยล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น

7 เผาผลาญไขมันด้วยเครื่องดื่มรสอร่อย

นม เปรี้ยวธรรมชาติสามารถช่วยกระตุ้นระบบย่อย และระบบทางเดินอาหารได้เป็นอย่างดี แถมนมเปรี้ยวยังมีไขมันต่ำกว่านมสด จึงเหมาะเจาะอย่างยิ่งที่จะเป็นเครื่องดื่มลดน้ำหัก เท่านั้นยังไม่พอ หากใส่สตรอเบอรี่ลงไปสัก 2-3 ผลต่อนมเปรี้ยวหนึ่งแก้ว จากนั้นนำมาปั่นรวมกัน ก็จะได้นมเปรี้ยวที่หอมอร่อย พร้อมทั้งมีคุณค่าของวิตามินและเกลือแร่ต่าง ๆ อีกเพียบ
http://health.kapook.com/view4002.html

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อาหาร 10 อย่างที่ไม่ควรกินมากเกิน

ท่านอาจารย์นาย แพทย์ภาสกิจ(วิทวัส) วัณนาวิบูล อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแพทย์แผนจีนแนะนำเคล็ดลับการดูแลสุขภาพ ตามศาสตร์แพทย์แผนจีนว่า อาหาร 10 อย่างที่ไม่ควรกินมากเกิน นำแนวคิดศาสตร์แพทย์แผนจีนมาวิเคราะห์โดย ใช้หลักแพทย์แผนปัจจุบันประกอบ...
อาหารที่ไม่ควรกินมากเกิน หรือบ่อยเกินได้แก่... 1. ไข่เยี่ยวม้า :ไข่ เยี่ยวม้ามีตะกั่วค่อนข้างสูง ตะกั่วทำให้การดูดซึมแคลเซียมน้อยลงกินบ่อยๆ จะเสี่ยงโรคกระดูกโปร่งบาง และอาจได้รับพิษตะกั่วเช่น สมองเสื่อม เป็นหมัน ฯลฯ
2. ปาท่องโก๋ :กระบวนการทำปาท่องโก๋ มีการใช้สารส้ม ซึ่งมีตะกั่วปน เปื้อน ตะกั่วทำให้ไตทำงานหนักในการขับสารนี้ออกไป นอกจากนั้นยังทำให้คอแห้ง เจ็บคอง่าย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคร้อนในได้ง่าย

3. เนื้อย่าง :กระบวนการรมไฟ ย่างไฟทำให้เกิดสาร! เบนโซไพรีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
4. ผักดอง :ผัก ดอง และของหมักเกลือทำให้ร่างกายได้รับเกลือโซเดียมสูง ถ้ากินบ่อยเกิน หรือมากเกินจะทำให้หัวใจทำงานหนัก เกิดความดันเลือดสูงและโรคหัวใจได้ง่าย นอกจากนั้นกระบวนการหมักดองยังทำให้เกิดสารแอมโมเนียมไนไตรด์ ซึ่งเป็นสาร ก่อมะเร็ง
5. ตับหมู :ตับ หมูมีโคเลสเตอรอลสูง การกินตับหมูบ่อยเกิน หรือมากเกินทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ เส้นเลือดสมอง (อัมพฤกษ์-อัมพาต) และโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น
6. ผักขม ปวยเล้ง : ผักขมและปวยเล้งมีสารอาหารสูง ทว่า... มีกรดออกซาเลตมาก ทำให้เกิดการขับสังกะสีและแคลเซียมออกจากร่างกายมาก การกินบ่อยเกิน หรือมากเกินอาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลเซียม หรือสังกะสีได้
7. บะหมี่สำเร็จรูป : บะหมี่สำเร็จรูปมีสารกัดบูด สารแต่งรสค่อนข้างสูง และมีคุณค่าทางอาหารต่ำ การกินบะหมี่สำเร็จรูปมากเกิน หรือบ่อยเกินอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคขาดอาหารและการสะสมสารพิษได้
ที่มา.
.http://www.matichon.co.th/prachachat/news_detail.php?newsid=1245902270&grpid=07&catid=00

เคล็ดลับ ๑๒ ข้อ จากแพทย์จีน - อาหารที่ไม่ควรกิน(บ่อย)

เคล็ดลับ ๑๒ ข้อ จากแพทย์จีน - อาหารที่ไม่ควรกิน(บ่อย)

1.หวีผมบ่อยๆ :หวีผมเบาๆ บ่อยหน่อยช่วยให้ตาสว่าง และรากผมแข็งแรง (ใช้หวีซี่ห่างหน่อย แปรงเบาหน่อย เพื่อกันผมหลุด)

2.ถูใบหน้าบ่อยๆ :ล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ให้สะอาดก่อน หลังจากนั้นใช้ฝ่ามือ 2 ข้างถู หน้าเบาๆ บ่อยหน่อยเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ใบหน้าเปล่งปลั่ง

3.เคลื่อนไหวดวงตาบ่อยๆ :ให้ มองไกล-มองใกล้ มองข้างนอก-ข้างใน มองบน-มองล่าง หลีกเลี่ยงการมอง หรือจ้อง อะไรนานๆ โดยเฉพาะคนที่ทำงานคอมพิวเตอร์ควรพักสายตาด้วยการมองไกลอย่างน้อยทุกชั่วโมง

4.กระตุ้นใบหูบ่อยๆ :การ ดึงหู ดีดหู บีบหู ถูใบหูเบาๆ บ่อยหน่อย ช่วยบำรุงตานเถียน(จุดฝังเข็ม) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เก็บพลังงานของร่างกาย (ใต้สะดือ) สัมพันธ์กับไต ซึ่งเปิดทวารที่หู ทำให้แรงดี ป้องกันเสียงดังในหู หูตึง และอาการเวียนหัว

5.ขบฟันบ่อยๆ : ขบฟันเบาๆ บ่อยหน่อย(ไม่ใช่ขบแรงดังกรอดๆ) ช่วยให้ฟันแข็งแรง และกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย

6.ใช้ลิ้นดุนเพดานปากบ่อยๆ : การใช้ปลายลิ้น กระตุ้นเพดานบนด้านหน้าเป็นการกระตุ้นจุดฝังเข็ม เพื่อเชื่อมพลัง! ลมปราณตู๋และเยิ่น ซึ่งเป็นเส้นควบคุมแนวกลางลำตัวส่วนหลัง และส่วนหน้าร่างกาย ทำให้เกิดการกระตุ้นการหลั่งสารน้ำ และน้ำลาย

7.กลืนน้ำลายบ่อยๆ : การกลืนน้ำลายบ่อยๆ ช่วยกระตุ้นพลังบริเวณคอหอย และกระตุ้นการย่อยอาหาร

8.หมั่นขับของเสีย : หมั่นขับของเสีย โดยเฉพาะดื่มน้ำให้พอ กินอาหารที่มีเส้นใย ออกกำลัง เพื่อ ป้องกันท้องผูก เมื่อปวดปัสสาวะหรืออุจจาระให้ถ่ายทันที อย่ารอโดยไม่จำเป็น การทิ้งของเสียไว้ในร่างกายนานเกินทำให้เกิดสารพิษ และการดูดซึมสารพิษ(กลับเข้าสู่ร่างกาย) มากขึ้น ทำให้ป่วยง่าย

9.ถูหรือนวดท้องบ่อยๆ: ให้นวดท้องตามเข็มนาฬิกาเบาๆ เพื่อช่วยให้การขับถ่ายของเสียดีขึ้น

10.ขมิบก้นบ่อยๆ: การขมิบก้นบ่อยๆ ช่วยป้องกันริดสีดวงทวาร และท้องผูก

11.เคลื่อนไหวทุกข้อ: การอยู่นิ่งๆ หรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป ทำให้เกิดโรคได้ง่าย ควรเคลื่อน ไหวข้อต่างๆ ให้ครบทุกข้อทุกวัน ฝึกฝนการใช้กล้ามเนื้อและข้อให้สมดุล เช่น การฝึกชี่กง ไท ้เก้ก โยคะ ฯลฯ

12.ถูผิวหนังบ่อยๆ: ใช้ฝ่ามือถูตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย คล้ายกับการถูตัวเวลาอาบน้ำ มีส่วนช่วยให้ เลือดและพลังไหลเวียนดี เรียนเชิญท่านผู้อ่านลองนำไปปฏิบัติดู เพื่อสุขภาพ พลัง และลมปราณที่ดีไป นานๆ

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

มาทำเอวคอดกิ่วกัน

ฉันเป็นคนตรงไปตรงมา เอวก็ตรงๆ (ไม่มีเอวเจ้าค่ะ) แม่ไม่ให้มาก็ไม่เป็นไร ซ่อมได้ๆ ฉันได้เรียนเคล็ดลับทำเอวคอดมาจากหัวหน้าเทรนเนอร์ที่ฟิตเนสชื่อดังแห่งหนึ่ง เขาว่าต้อง "หมุน" เอววันละ 600 ครั้งหรื่อมากกว่านั้นก็ยิ่งดี ท่าหมุนเอว มี 3ท่าด้วยกัน ท่าแรกนั่งลงบนเก้าอี้ วางไม้ยาวประมาณ 1.5เมตร (อาจจะเป็นท่อพีวีซีที่แข็งแรงรับน้ำหนักแขนได้ )บนบ่าทั้งสองข้าง มือจับปลายทั้งสอง แล้วหมุนรอบตัวเรา หากมาจากเพดานลงมาจะเป็นว่าศรีษะของเราอยู่นิ่ง แต่ส่วนที่หมุนคือ แขนที่จับไม้ยาว หมุน 200 ครั้ง
ท่าที่สอง ท่าเตรียมเหมือนท่าแรก แต่เปลี่ยนการเคลื่อนไหว ท่านี้ให้โยกตัวซ้ายขวา 200 ครั้ง
ท่าที่สาม ท่าเตรียมเหมือนเดิม โน้มตัวไปข้างหน้าจนหน้าอกอยู่ระดับเดียวกับเข่า ทำ 200 ครั้ง
ทำอย่างนี้ทุกวัน จะเริ่มเห็นเอวค่อยๆคอดลง เพียงอาทิตย์แรกก็จะเริ่มเห็นผลแล้ว ทำต่อไปเรื่อยๆ แล้วจะได้เป็นเจ้าของเอวคอดกิ่วกันนะค่ะ
อย่าลืม สัดส่วนที่ชวนมองในสายตาของผู้้ชายคือ สัดส่วนเอว :สะโพก คือ 60 :100 ค่ะ เช่น สะโพก 40 นิ้ว เอว ในสัดส่วนที่สวยงามจะอยู่ที่ 26นิ้วค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เสน่ห์กาย 9 ประการที่ผู้ชายต้องเหลียวหลัง

ฉันได้อ่ื่านหนังสือเรื่อง"ทำไม้ผู้หญิงชอบร้องไห้และผู้ชายตอแหล"เป็นหนังสือจิตวิทยาเกี่ยวความแตกต่างในมุมมองของชายกับหญิง ในนั้นเขายังบอกถึงเสน่ห์ทางกาย 9 อย่างที่ดึงดูดผู้ชาย ก็มี
1.หน้าผากเป็นโหนกนูนขึ้นมา
2.ตาโตคม
3.ปากอวบอิ่มหน้าจูบ
4.คอยาวเรียว
5.หน้าอกกลมกลึง
6.เอวคอด ความยาวรอบเอวเป็น60%ของความยาวรอบสะโพก
7.สะโพกผาย
8.ก้นงอน
9.ขาเรียวยาว ขาต้องยาวเป็น 60%ของความสูงทั้งหมดของเรา
แต่เท่าที่รู้ต่อให้เป็นยอดนางแบบก็มีไม่ครบ 9ข้อนี้หรอก
ตั้งแต่ข้อ1-9 หากมีไม่ครบก็ "ซ่อม"ได้
ข้อ1.2.3. แก้โดยเทคนิคการแต่งหน้า
ข้อ4.9.แก้โดยการแต่งตัว
ข้อ5.6.7.8.แก้โดยการบริหารร่ายกาย
"ไก่งานเพราะขน คนงามเพราะแต่ง"
แล้วจะกลับลงรายเอียดละเอียดในแต่ละข้ออีกครั้งนะจ๊ะ

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คำสอนในวันแต่งงาน

วันนี้ฉันได้ไปร่วมงานแต่งงานของพี่ที่นั่งเล่นเชลโล่ข้างๆฉันในวงออเคสตร้า ลูกสาวของฉันไปช่วยเดินขบวนเจ้าสาว พิธีแต่งงานนี้จัดแบบคริสเตียน ในพิธีมีการสอนเรื่องการอยู่กันกันด้วยความยินดี ฉันจะประทับใจเนื้อความที่สอนตอนหนึ่งที่บอกว่า เราต้องรู้จักภาษารักของคู่ของเรา และรู้จักตอบสนองได้ตรงตามภาษานั้นด้วย
นั้นจะเป็นวิธีการเพิ่มพูนความรัก ยิ่งอยู่ก็ยิ่งรัก ภาษารักนั้นมี 5 ภาษาด้วยกัน มีการทำบางสิ่งบางอย่างให้ ,การให้ของขวัญ,การใช้เวลาที่มีคุณค่า,การสัมผัส,การพูดถ้อยคำที่ชูจิตใจ เราต้องค้นหาว่าคู้่ของเราเขามีภาษารักแบบไหน แล้วตอบสนองให้ตรงกับภาษารัก เพื่อการแสดงความรักของเราจะไม่สูญเปล่า เขาสามารถสัมผัสได้ว่าเรารักเขา บางครั้งฝ่ายหนึ่งพยายามแสดงความรักมากมาย แต่อีกฝ่ายไม่เคยสัมผัสได้เลยว่าถูกรัก ฝ่ายที่แสดงความรักก็ท้อใจ บ่นว่าอีกฝ่ายเย็นชา ในขณะเดียวอีกฝ่ายก็เหงาเปล่าเปลี่ยวหัวใจเพราะไม่รู้้สึกถูกคู่ของตนรัก
นอกจากเราจะรู้ว่าภาษารักมีด้วยกัน 5 ภาษาแล้ว เรายังต้องรู้ว่าคู่ชีวิตของเราเขามีพูด(ให้)ภาษารักแบบใดใน5แบบ และเขาฟัง(รับ)ภาษารักแบบใดใน5แบบ
เช่น สามีพูด(ให้)ภาษารักแบบการสัมผัส ในขณะที่ภรรยาฟัง(รับ)ภาษารักแบบการทำบางสิ่งบางอย่างให้
เมื่อสามีแสดงออกความรักด้วยการหอมแก้มภรรยา ภรรยาจึงไม่รู้สึกว่าสามีรักตน
แต่เมื่อสามีช่วยล้างจาน ภรรยาถึงจะรู้สึกว่าสามีรัก
การจะรู้ได้ว่าคนคนหนึ่งพูดภาษารักเป็นแบบใดก็ดูได้จากการแสดงออกความรักของเขาต่อคนอื่น เช่นบางคนเมื่อเขายื่นมือเข้าไปช่วยทำสิ่งเล็กๆน้อยๆให้คนอื้นแล้วรู้สึกรักคนอื่นมากขึ้น นี่ก็แปลว่าเขาพูดภาษารักแบบการทำบางสิ่งบางอย่างให้ เดียวกันการจะรู้ว่าเราฟัง(รับ)ภาษารักแบบใดก็สังเกตจากการที่เรารู้สึกว่าถูกรักเมื่อมีคนมาแสดงความรักในแบบที่ตรงกับภาษารัก(ฟัง)ของเรา หากเรามีภาษารักแบบการพูดที่ให้กำลังใจ เมื่อมีคนมาพูดดีๆหรือพูดให้กำลังใจเราจะรู้สึกว่ามีคนมารักเรา
ฉันคิดว่าการรู้ภาษารักของคู่ชีวิตของเราจะช่วยเติมรักให้คู่ชีวิต ทำให้คู่ของเรานั้นยิ่งอยู่ด้วยกัน ก็ยิ่งรักกันมากขึ้น

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

"อภัยเสมอ "เคล็ดลับความความสดใหม่ของชีวิตคู่ตลอดกาล

วันนี้ฉันได้รู้ว่าความสุขที่ได้มาเมื่อเราอภัยให้คนที่เรารักเป็นอย่างไร ฉันคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่ชีวิตคู่จะไม่มีการกระทบกระทั่งกัน สิ่งนี้ที่มันเกิดขึ้นได้ ก็เเหมือนลิ้นกับฟัน เราต้องเรียนรู้จักการอภัย ไม่อย่างนั้นเราอยู่กันไปนานความรักที่เคยหวานชื่นก็จะกลายเป็นจืดสนิท ใจของเราก็คงจะเจ็บช้ำเพราะเก็บกดความเคียดแค้นไว้ ไม่ยอมอภัยให้เขา อย่างที่เคยมีคนสอนว่า "จงระวังระไว รักษาใจของเจ้า เพราะชีวิตเริ่มต้นมาจากใจ "หากใจของเราช้ำ ชีวิตของเราช้ำ และลามไปถึงชีวิตคู่ก็จะช้ำด้วย
เราเคยมีความคิดโง่ๆว่า ถ้าเราอภัยให้เขาก็เท่ากับเราขาดทุน แพ้ เสียเปรียบ เราต้องเอาคืน ต้องคิดบัญชี แก้แค้นให้สาสมกับความเจ็บปวดที่เราเคยได้ีรับ โดยหารู้ไม่ระหว่างที่เรามีความคิดอย่างนี้นั้น มันได้บั่นทอนความสุขของครอบครัวไปตั้งมากมาย เราเสียเวลากับการแก้แค้นมามาก และไม่มีอะไรดีขึ้น ใจที่ยังเจ็บก็เจ็บอยู่อย่างนั้น ดูเหมือนว่าการแก้แค้นจะไม่เคยบรรเทาความเจ็บปวดในใจของเราได้เลย
พอเราได้เข้าใจเรื่องการให้อภัยที่กางเขนที่พระเยซูมาตายไถ่บาปของเรา การให้อภัยก็คือ ไม่เอาเรื่อง ไม่ถือโทษ และเชื่อว่าเขาจะกลับตัวกลับใจไม่ทำอย่างนั้นอีก
เมื่อเราซาบซึ้งกับสิ่งที่พระเยซูทำเพื่อเรา เราเองก็เคยทำผิดพลาดมาก่อน แต่พระเยซูก็อภัย ไม่ถือโทษ และให้โอกาสเราแก้ตัว แม้ว่าเราอาจจะทำพลาดอีก แต่ก็รักและอดทนนานกับเรา และเชื่อว่าเราจะเป็นคนดีได้เสมอมา
เราจึงตัดสินใจอภัยให้เขา ทำอย่างที่พระเยซูทำให้เรา แล้วความสุขเกินคำบรรยายก็ได้หลั่งเข้ามาในใจ เราได้รับการปลดปล่อย จิตใจของเรามีเสรีภาพ ไม่ต้องพันธนาการไปด้วยรู้สึกเคียดแค้นอีกต่อไป
เราจึงมีความสุขมากกับการใช้ชีวิตคู่กับเขา เป็นความสุขทีี่มาจากการตัดสินใจอภัยของเราเอง แม้ว่าเขาอาจเคยพลาดผิดและเราก็เจ็บชำ้ใจแต่เราก็เชื่อในส่วนดีของเขาเสมอ
เชื่อว่าเขาจะเป็นคนดี เชื่อว่าเขาจะไม่ทำพลาดอีก หากเขาพลาดอีก เราก็จะอภัย และพร้อมจะยืนเคียงข้างให้เขาก้าวข้ามสิ่งนั้นได้